บทที่ 4: อุปสรรค - ป้ายบอกทางจากพระเจ้า

บทที่ 4: อุปสรรค - ป้ายบอกทางจากพระเจ้า

"เราจะนาเขาทั้งหลายไปในทางที่เขาไม่รู้จัก" (อิสยาห์ 42:16)

"เราพบว่าแผ่นเสียงภาษาสเปนมีประโยชน์เป็นอย่างมาก และพระเจ้าได้ทรงอวยพรอย่างเห็นได้ชัดเราจึงต้องการแผ่นเสียงอีก แต่เผ่าที่เราเป็นห่วงมากที่ สุดคือเผ่ามาซาฮัวในประเทศเม็กซิโก เผ่านี้อาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจาย และดูเหมือนทางเดียวที่จะให้ข่าวประเสริฐไปถึงพวกเขาอย่างเพียงพอก็คือโดยการใช้แผ่นเสียง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแผ่นเสียงภาษามาซาฮัว ถ้าเรานาบางคนจากเผ่ามาซาฮัวไปที่กรุงลอสแองเจลิส คุณจะบันทึกเสียงภาษาของเขาได้ไหม?"

นี่เป็นคาขอจากองค์กรวิคลิฟในประเทศเม็กซิโก ส่งมาถึงจีอาร์ในต้นปี 1943 และจีอาร์ได้ตอบรับอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้ร่วมงานที่อยู่ในห้องเล็กๆ ของสนามหญ้าบนถนนวิทเมอร์รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้บันทึกเสียงข่าวประเสริฐและเพลงในภาษาอื่นที่ยังไม่มีการแปลพระคัมภีร์ โดยชาวมาซาฮัวที่พูดได้สองภาษา ทาให้พวกเขามีภาระใจที่จะทางานลักษณะนี้มากขึ้น คือการประกาศข่าวประเสริฐกับคนที่ยังไม่มีโอกาสได้ฟัง ด้วยความยินดีจอยจึงเขียนจดหมายถึงมิชชันนารีขององค์-กรวิคลิฟ แจ้งให้เขารู้ว่าจอยพร้อมที่จะร่วมมือกับเขา ทุกคนพร้อมต้อนรับผู้ที่จะมาร่วมบันทึกเสียง แต่หลังจากนั้นได้ข่าวว่าพวกเขาไม่สามารถเดินทางมาที่ลอส แองเจลิสแล้ว เพราะแม้ว่าสงครามโลกครั้งที่สองจะอยู่ไกลจากสหรัฐอเมริกาแต่มันก็ส่งผลกระทบต่อคนทั่วประเทศ รัฐบาลไม่อนุญาตเมื่อดาเนินเรื่องขออนุญาต นาคนจากเผ่ามาซาฮัว 2-3 คนในประเทศเม็กซิโกมาที่ลอสแองเจลิส

อุปสรรคครั้งนี้จะนาจีอาร์ องค์กรที่มีอายุไม่ยาวนานนักไปสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เพราะที่ผ่านมาจุดศูนย์กลางของงานทั้งหมดอยู่ที่ลอสแองเจลิส ผู้ให้เสียง ในการบันทึกเป็นคนสเปน คนเม็กซิกัน คนจีนและคริสเตียนชาติอื่นๆ รวมทั้งชาวพื้นเมืองบางคน ได้มาที่ห้องบันทึกเสียงในถนนวิทเมอร์แห่งนี้ และได้ทาการบัน - ทึกเสียงข่าวประเสริฐในภาษาของคนเหล่านั้น แต่จอยรู้ว่าชาวพื้นเมืองจากเผ่าต่างๆ ที่สามารถพูดได้สองภาษาคงมีน้อยคนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา และเธอเองเคยมีความคิดหลายครั้งแล้วว่าเธออาจจะต้องไปหาคนเหล่านั้นด้วยตัวของเธอเอง ดังนั้นเมื่อมีข่าวว่าชาวมาซาฮัวไม่สามารถมาได้ คาตอบของเธอคือ "ถ้าเช่น นั้นเราจะไปหาพวกเขา"

ที่จริงแล้วจอยเชื่อมั่นในพระมหาบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นขึ้น มาจากความตาย ที่มาถึงเธอเกี่ยวกับประเทศฮอนดูรัสเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม "เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน" (มาระโก 16:15) ในอดีตข้อความนี้มาถึงเธอโดยตรงอย่างชัดเจนและเฉพาะ เจาะจง สองสามเดือนที่ผ่านมาข้อความนี้ได้เข้ามาในความคิดของเธออย่างเงียบๆ

"เจ้าทั้งหลายจงออกไป...."

"ไป...."

จอยได้คุยเรื่องนี้กับแอนรวมทั้งทีมงานคนอื่นๆ และทุกคนมีใจเดียวกับเธอตั้งแต่เริ่มแรก ใช่แล้ว! ภาษามาซาฮัวจาเป็นต้องถูกบันทึกอย่างแน่นอน ข่าวประ เสริฐที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ จะต้องประกาศให้กับเผ่ามาซาฮัวโดยใช้แผ่นเสียง ในระหว่างที่ทุกคนเผชิญหน้ากับโอกาสนี้และอธิษฐานด้วยกัน พวกเขายิ่งมีความมั่นใจว่าเป็นน้าพระทัยของพระเจ้า ที่จะให้จอยกับแอนไปที่เม็กซิโก เป้าหมายของพวกเธอไม่ใช่ภาษามาซาฮัวเท่านั้น ยังมีเผ่าอื่นๆ ที่ต้องเข้าไปให้ถึง มีแกะอื่นๆ ที่ต้องตามหา เสียงเบาๆ อันเงียบสงบของพระเจ้าที่ผู้ร่วมงานของจีอาร์รู้จักกาลังตอกย้าความคิดและความต้องการเดียวกันในใจของพวกเขาให้ลึกมากขึ้น "แกะอื่น... แกะอื่น... เราจะต้องพามาด้วย" และเวลานี้ความสนใจของพวกเขาอยู่ที่เผ่าต่างๆ ในเม็กซิโกอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นพวกเขาจะต้องไปที่ประเทศเม็กซิโก

การเดินทางไปเม็กซิโกกลายเป็นงานใหญ่กว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้ เครื่องเทปเล็กๆ ที่ใช้กันในปัจจุบันนี้สมัยนั้นเกือบจะไม่มีใครรู้จักเลย การบันทึกเสียงต้องทาลงบนแผ่นเสียง และเครื่องจักรก็หนักทาให้ขนย้ายลาบาก ไม่เพียงแต่ต้องมีเครื่องผลิตแผ่นเสียงที่เคลื่อนย้ายได้แต่ต้องมีรถในการขนย้ายด้วย ต้องมีแผ่นเสียงเปล่าจานวนมาก ต้องมีคูปองสาหรับใช้ซื้อน้ามันรถ และต้องมีใบอนุญาตข้ามชาย แดน ในระหว่างนั้นสานักงานในลอสแองเจลิสก็ยังต้องทาการผลิตและแจกจ่ายแผ่นเสียง รวมทั้งงานเขียนจดหมาย การจัดการกับกาหนดการต่างๆ การกรอกแบบฟอร์ม การเยี่ยมโรงงานและหน่วยงานธุรกิจอื่นๆ ซึ่งเป็นงานที่พวกเขาต้องทาตลอด เจ้าหน้าที่จีอาร์มองหน้ากันด้วยความสงสัยว่างานเหล่านี้ปกติคนหกคนทาเต็มเวลา แต่เหลือเพียงสี่คนจะทาได้อย่างไร? แต่พวกเขามีความเชื่อมั่นอยู่ในใจลึกๆ ว่าการออกไปครั้งนี้เป็นน้าพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมตัวต่อไปและกาหนดวันเดินทางในวันอังคารที่ 2 มีนาคม 1944

ถึงวันเสาร์ที่ใกล้ถึงกาหนดวันเดินทางแล้ว แต่ยังไม่มีรถที่จะใช้ในการเดิน ทางเลย แต่จอยมั่นใจว่าจะต้องได้รถจากที่ไหนสักแห่ง และจะทันวันกาหนดการเดินทางของเธอกับแอน เนื่องจากต้องมีน้ามันรถเพิ่มเพื่อใช้สาหรับการเดินทางไกล เธอจึงไปที่สานักงานบริการน้ามันด้วยความเชื่อและมีความหวังในการขอคูปองน้า มันเพิ่ม แต่คาขอของเธอกลับถูกปฏิเสธ

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามเธอว่าต้องการน้ามันไปใช้เพื่ออะไร? การเดินทางครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่ออะไร? การบันทึกเสียงภาษาพื้นเมืองจะใช้เพื่ออะไร? ในที่สุดเจ้าหน้าที่คนนั้นได้ลงความเห็นว่า การบันทึกเสียงไม่มีประโยชน์อะไรในช่วงที่ประ เทศตกอยู่ในภาวะสงคราม และจะไม่ยอมให้คูปองสาหรับการเดินทางที่ไม่สาคัญจริงๆ เขายังเริ่มสอบถามถึงจานวนน้ามันที่รัฐบาลกาหนดให้องค์กรจีอาร์ใช้ เขาบอกว่าน้ามันที่กาหนดให้ใช้มีจานวนมากเกินไปสาหรับองค์กรอย่างจีอาร์และต้องลดจานวนให้น้อยลงด้วย เมื่อจอยออกจากสานักงานบริการน้ามัน เธอไม่เพียงแต่ไม่ได้ รับคูปองน้ามันเพิ่มสาหรับการเดินทางไปเม็กซิโก แต่เธอรู้ว่าอาจจะมีน้ามันไม่เพียง พอสาหรับความต้องการของทีมงานที่อยู่ในลอสแองเจลิสด้วย

ครั้งนี้จอยค่อนข้างรู้สึกท้อใจ ทั้งที่เกือบตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอถือคติที่ว่า "จงชื่นบานอยู่เสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี" (1 เธสะโลนิกา 5:16,18) แต่ใน ขณะที่เธอกาลังกลับสานักงานการอธิษฐานในใจกลายเป็นการถอนหายใจมากกว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงสดับฟังคาอธิษฐาน มนุษย์ทั้งสิ้นจะมายังพระองค์" (สดุดี 65: 1-2) เธอกลับถึงบ้านที่อยู่ในถนนวิทเมอร์และเตรียมตัวที่จะใช้เวลาเข้าเฝ้าพระเจ้า เพื่อทูลถามพระองค์เกี่ยวกับความล้มเหลวนี้ เวลานั้นแอน เชอร์วูดเดินมาหา

"จอย รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น" แอนพูด "มีคนถวายรถคันใหญ่พร้อมกับคูปองน้ามันให้เรา เพื่อใช้ในการเดินทางไปที่เม็กซิโก!"

แอนเพิ่งกลับจากไปตรวจสุขภาพก่อนออกเดินทางไกล เธออธิบายว่า "ดูเหมือนเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก วันนี้คุณหมอได้ซื้อรถคันใหญ่ที่สภาพรถยังใหม่อยู่ คุณหมอถวายให้เราใช้ในการเดินทาง และจะให้เราใช้ตามความจาเป็นโดยไม่มีกาหนดเวลา คุณหมอซื้อรถมาจากผู้ชายคนหนึ่งที่กาลังจะย้ายไปอยู่ที่เม็กซิโก แต่ในวินาทีสุดท้ายชายคนนั้นได้ตัดสินใจที่จะเดินทางไปโดยเครื่องบิน เขาจึงต้องการขายรถพร้อมคูปองน้ามัน" การจัดเตรียมของพระเจ้ามาทันเวลาอีกครั้ง หลังจากนั้นจอยจึงไม่ยอมให้ตัวเองรู้สึกท้อใจอีกแล้ว !

แล้วกาหนดวันเดินทางก็มาถึง จอยกับแอนออกเดินทางไปประเทศเม็กซิโกโดยใช้ทางหลวงแพนอเมริกันของประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นเส้นทางที่ตัดผ่านภูเขาหิน มีกลุ่มก้อนเมฆที่สวยงามอยู่บนขอบฟ้า ในประเทศเม็กซิโกมีความแตกต่างระหว่างคนร่ารวยกับคนยากจนอย่างเห็นได้ชัด มีโบสถ์คาทอลิกที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหรา และมีสุนัขจรจัด เม็กซิโกยังมีผืนป่าพุ่มไม้หนามและต้นกระบองเพชรที่ลึกเข้าไปไม่ถึงเป็นพันๆ กิโลเมตร เป็นที่ที่นกอีแร้งบินอยู่เหนือศีรษะ มีหมู่บ้านเล็กๆ เป็นชาวอินเดียนแดงยากจน โดยปกติแล้วพวกเขาเป็นคนอ่อนน้อม แต่เมื่อตกอยู่ ใต้อานาจของเหล้าหรือกัญชาพวกเขาจะกลายเป็นคนก้าวร้าวรุนแรง ที่นั่นยังมีหมอผีที่ใช้อานาจชั่ว เป็นที่ซึ่งมีโรคระบาดและอาชญากรรมคร่าชีวิตผู้คนจานวนมาก

จริงอยู่ที่จอยกับแอนเดินทางไปเม็กซิโกเพื่อประโยชน์ของชาวอินเดียนแดง เผ่าต่างๆ แต่ทั้งสองกลับไม่ได้เห็นหมู่บ้านที่ยังไม่พัฒนาเหล่านั้น เนื่องจากหมู่ บ้านอยู่ห่างจากถนนใหญ่ที่พวกเธอเดินทางผ่าน ทั้งสองเดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุงเม็กซิโก หลังจากที่จอยกับแอนใช้เวลาสองสามวันในการหาห้องบันทึกเสียง จอยได้คิดถึงชายคนหนึ่งที่เธอเคยพบ เขาบอกว่าเขามีพี่ชายที่สนใจเรื่องการบันทึก เสียง ถ้าจอยไปที่เม็กซิโกเมื่อไหร่ควรจะไปหาพี่ชายของเขา จอยรู้แต่ชื่อของชายคนนี้ เธอจึงหาเบอร์โทรของเขาในสมุดโทรศัพท์ เมื่อได้เบอร์แล้วเธอจึงโทรหาเขา เมื่อเขารู้ว่าจอยกับแอนกาลังหาห้องบันทึกเสียง เขาจึงพูดว่า

"ผมมีห้องบันทึกเสียงที่ใช้อาทิตย์ละวันเท่านั้น ดังนั้นวันอื่นๆ พวกคุณสามารถใช้ได้ฟรี!" ห้องบันทึกเสียงแห่งนี้เป็นที่ที่ดีที่สุดที่ทั้งสองเคยใช้มา มันเป็นห้องบันทึกเสียงที่กว้างมีผ้าม่านหนักและมีพรมหนาปูพื้น ซึ่งสามารถป้องกันเสียงจากถนนแคบๆ ด้านนอกที่มีผู้คนพรุกพร่านได้เป็นอย่างดี ห้องบันทึกเสียงแห่งนี้เป็นที่ที่มิชชันนารีจากองค์กรวิคลิฟนาชาวอินเดียนแดงดั้งเดิม เดินเท้าเปล่าเข้ามาเพื่อบันทึกเสียงภาษาของพวกเขา

อย่างไรก็ตามมีบางครั้งที่จอยกับแอนไม่เพียงเดินทางไกลภายในเม็กซิโกเท่านั้น แต่ยังได้เดินทางไปประเทศอื่นๆ ในอเมริกากลาง รวมทั้งประเทศฮอนดูรัส ซึ่งเป็นที่ที่จอยรู้สึกตื่นเต้นที่สุดตลอดการเดินทาง 10 เดือนที่ไม่ได้อยู่ในลอสแองเจลิส นั่นคือการไปเยี่ยมศูนย์ประกาศบนเทือกเขาที่จอยเคยไปรับใช้ เธอมีโอกาสเดินทางโดยนั่งบนหลังลาอีกครั้ง มีเสียงกุบกับๆ ตลอดเส้นทางที่แคบและโค้งเพื่อนาไปยังหมู่บ้านเล็กๆ เมื่อใกล้ถึงเธอเห็นกลุ่มคนรออยู่ข้างหน้า กลุ่มผู้เชื่อทั้งหมดชุมนุมกันเพื่อมาต้อนรับเธอด้วยน้าตาคลอเพราะความยินดี ในปี 1936 เธอเคยสัญญาว่าจะกลับมาหาพวกเขา และเวลานี้เธอได้ทาตามสัญญานั้นแล้ว สองอาทิตย์ ต่อมาเธอต้องบอกลาพวกเขาอีกครั้ง ทุกคนรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกผู้รับใช้ของพระ องค์ให้ไปรับใช้ในงานที่ใหญ่ขึ้น แต่เป็นงานรับใช้ที่พวกเขาได้มีส่วนเกี่ยวข้องและผูกพัน

ในระหว่างนั้นทีมงานเล็กๆ ที่เหลืออยู่ในกรุงลอสแองเจลิสทางานต่อด้วยความ เชื่อและการอธิษฐาน ในช่วงหลายเดือนที่จอยกับแอนเดินทางไปเม็กซิโก พวกเขาได้ซื้อที่ดินที่อยู่ข้างบ้านของจอยสร้างห้องบันทึกเสียง แม้ว่าจะจานองที่ดินไว้สูง แต่โดยความเชื่อพวกเขาสัญญาจะจ่ายให้หมดภายในหนึ่งปี การสัญญาเช่นนี้ทาให้ทุกเดือนต้องจ่ายเงินจานวนมาก แทนที่จะจ่ายน้อยตามทนายที่ปรึกษาแนะนา แม้ไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้ถึงจานวนเงินที่ต้องการแต่พวกเขาก็ได้ใช้หนี้หมดภายในเก้าเดือนนับจากวันซื้อที่ดิน งานต่างๆ ได้ก้าวหน้า รายการต่างๆ ในภาษาสเปนที่ได้บันทึกก็นาไปใช้ในสถานีวิทยุกว่า 40 สถานีในลาตินอเมริกา ในขณะที่จานวนแผ่น เสียงที่ส่งไปต่างประเทศมีเกือบ 20,000 แผ่น และที่สาคัญมีจดหมายจากที่ห่าง ไกลมาบ่อยๆ เล่าถึงดวงวิญญาณที่ได้รับความรอด และเล่าถึงการที่ข่าวประเสริฐได้ไปถึงคนจานวนเป็นร้อยๆ ที่ไม่มีโอกาสได้ยินจากทางอื่นนอกจากทางแผ่นเสียงสีดาเล็กๆ การที่ผู้ร่วมงานเต็มเวลาและเหล่าอาสาสมัครที่มาช่วยงานต้องทางานหนักอยู่ในสานักงานถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าจริงๆ

เมื่อจอยกับแอนเดินทางกลับมาในปี 1945 พวกเขาใช้เวลาสามวันเต็มในการจัดงานฉลองสานักงานใหม่ที่ตั้งอยู่เลขที่ 124 ถนนวิทเมอร์ และฉลองต้อนรับการกลับมาของจอยกับแอน พวกเขาพาแขกที่มาร่วมงานเที่ยวชมทั่วสานักงาน จีอาร์ด้วยความชื่นชมยินดีและขอบพระคุณพระเจ้า พวกเขาทาสีสานักงานและตก แต่งด้วยผ้าม่านใหม่ มีเครื่องเรือนทั้งเก่าและใหม่ พร้อมทั้งมีการเผาใบจานองที่ดินต่อหน้าผู้มาร่วมงานทุกคน จอยกับแอนได้เล่าประสบการณ์อย่างกระตือรือร้นถึงการที่พระเจ้าทรงเปิดทางให้เมื่อเธอทั้งสองเชื่อและสรรเสริญพระองค์ เธอเล่าว่าได้รับการยกเว้นการตรวจจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีกฎข้อบังคับว่าก่อนที่จะนาแผ่นเสียง ออกจากประเทศเม็กซิโก เจ้าหน้าที่จะต้องเปิดฟังแผ่นเสียงต้นแบบทั้งหมดเพื่อ พิสูจน์ว่าไม่มีเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย กฎข้อบังคับนี้ทาให้พวกเธอต้องพบกับปัญหาสองอย่าง ปัญหาแรกคือไม่มีเจ้าหน้าที่ทางราชการคนไหนสามารถเข้าใจภาษาที่พวกเธอบันทึกซึ่งมีทั้งหมด 33 ภาษา (มี 25 ภาษาที่เป็นภาษาของชาวอินเดียน แดงเผ่าต่างๆ ที่ยังไม่มีการแปลพระคัมภีร์) ปัญหาที่สองคือเธอไม่สามารถให้พวกเขาฟังแผ่นเสียงต้นแบบได้ เพราะถ้าเปิดฟังแล้วจะใช้เป็นต้นแบบในการผลิตแผ่น เสียงอีกไม่ได้ การเผชิญหน้ากับปัญหาที่ยุ่งยาก จอยรู้ดีว่ามีทางเดียวคือต้องชื่นชมยินดีและมั่นใจว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สาหรับพระเจ้า เพราะฉะนั้นการที่จะนาแผ่นเสียงต้นแบบออกจากประเทศเม็กซิโกพร้อมกับคาอนุญาตของเจ้าหน้าที่ทาง ราชการเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ด้วยความชื่นชมยินดีฝ่ายวิญญาณว่าจะประสบความ สาเร็จ จอยกับแอนได้ไปสานักงานหลายแห่งเพื่อขอนาแผ่นเสียงต้นแบบออกไปโดยไม่ต้องผ่านการตรวจ แต่ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนอนุญาต จนในที่สุดโดยการทรงนาของพระเจ้า เจ้าหน้าที่ระดับสูงได้รับฟังผู้หญิงโปรแตสแตนท์ทั้งสองด้วยความเห็นใจที่ต้องการส่งแผ่นเสียงของโปรแตสแตนท์ไปยังชาวอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ที่มีความรู้เกี่ยวกับศาสนาคริสต์น้อยและยังไม่มีพระคัมภีร์ ผลการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงท่านนั้นคือ ท่านได้โทรศัพท์ทางไกลไปที่นิวยอร์กเพื่อขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้แก่เธอทั้งสอง พร้อมทั้งออกเอกสารทางราชการให้ จอยกับแอนนาไปที่รถคันใหญ่พร้อมกับแผ่นเสียงต้นแบบ แล้ววิ่งฉิ๋วไปตามถนนหลวงแพนอเมริกัน และข้ามชายแดนเข้ามาในสหรัฐอเมริกา!

แม้การเดินทางในครั้งนั้นได้สิ้นสุดลง แต่มันได้นาองค์กรจีอาร์ไปสู่ยุคใหม่ คือยุคของผู้บันทึกเสียงภาคสนาม

บทที่ 5: เสียงเรียกจากคนร่างเล็ก

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ความเชื่อเกิดขึ้นเพราะการได้ยิน - เรื่องราวของการบันทึกเสียงพระกิตติคุณ - ผู้เขียน ฟิลลิส ทอมสัน ผู้แปล แอนนาเบล รูลิสัน และทีมงาน